mas template

ร่างทรง

{[['']]}
ลานกว้างคลาคล่ำไปด้วย ผู้คนทั้งผู้ใหญ่และเด็กออกันเป็นกลุ่ม
ผมมองต้นก้ามปูที่คน เหล่านั้นพากันพึ่งพาอาศัยร่มใบของมันพลางคิดไปถึง ต้นก้ามปูข้างวัด
ต้มก้ามปูที่ข้างวัดแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มย้อย เวลาฝนตกดอกจะบานสะพรั่งมี หมู่ภมรบินตอมล้อมไม่ว่างเว้น
ผมเคยปีนเล่นตามประสาเด็ก บางครั้งไปเจอเอา รังนกก็เอาทั้งรังลงมาจนโดน หลวงพี่อบรมให้รู้ดีชั่วในสิ่ง ที่กระทำลงไป
การพลัดพรากเขามาเป็นการเบียดเบียนสัตว์ร่วมโลกไม่ถือเป็นศีล แต่นับเป็น ธรรมหนึ่งในจำนวนห้าข้ออันคือเบญจธรรม ว่าด้วยให้มี ความกรุณาปราณีนั่นเอง
ผมเลิกการยิงนกหรือเบียดเบียน สัตว์ร่วมโลกหลังจากถูกหลวงพี่อบรมมาตั้งแต่ บัดนั้น
กลุ่มคนที่อยู่ใต้ต้น ก้ามปูเหมือนกันเหมือนว่ากำลังให้ ความสนใจอะไรบางอย่าง
ผมเองก็เกิดความสนใจขึ้นมา เหมือนกันหลังจากหลวงพี่อนุญาตแล้ว ผมก็มุ่งตรงไป ที่ต้นก้ามปูทันที แต่หลวงพี่เองก็หัวเราะ แปลก ๆ ไล่หลังชวนให้ขบ คิดได้เหมือนกัน
เมื่อมาถึงคนเหล่านั้น กำลังช่วยกัน จัดพานเงินพานทอง กันอย่างขมีขมัน
ผมรีบเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ แล้วถาม เอากับผู้ชายวัย กลางคน ๆ หนึ่ง
“เขาทำอะไรกันหรือครับ”
“เข้าทรงน่ะสิไอ้ หนุ่ม”
“เข้าทรง...” ผมทวนคำ
เขาไม่สนใจผมอีกแต่หันไปช่วยเพื่อนๆ จัดพานอย่างคนรีบร้อน
เมื่อมองสำรวจไปทั่วก็พบผู้หญิง คนหนึ่ง ที่แต่งตัวแปลกไปจากคนทั่วไป
เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แดงแปร๊ดแถม มีผ้าแดงคาดหน้าผากอีกด้วย
แต่ไม่ยักกะมีผ้าคาดเอวด้วยแฮะ
“เข้าทรงอะไรหรือครับ” ผมถาม อย่างเกรงใจนิด ๆ
“เข้าทรงเจ้าแม่ไพลิน น่ะสิ”
“ทำไมต้องมาทำที่นี่ ด้วยล่ะครับ”
“บ๊ะ...เอ็งนี่เดี๋ยวเจ้าแม่ก็โกรธ เอาหรอกเอ็งรู้ไหม เจ้าแม่ท่านสิงสถิต อยู่ที่ต้นก้ามปู นี่เอ็งเข้ามาได้ไหว้บอกกล่าว ท่านเจ้าแม่ไพลินแล้วหรือ ยังห๋า...”
เสียงของเขาขึงขัง น่ากลัวขณะ ที่อีกหลายคน ก็หันมามองผมอย่างสงสัย
ผมไม่อยากจะเชื่อ เท่าไรนัก
แต่ไหนๆ ก็หลวมตัวเข้าเมือง ตาหลิ่ว แล้วก็ต้องหลิ่ว ตาตามไปกับเขา
ผมพนมมือยกขึ้น ไหว้อย่างเสีย ไม่ได้
แต่ก็อดตำหนิตัวเอง ไม่ได้ว่าไปหลง ไหว้ต้นไม้ได้ ยังไง
“เร่งมือหน่อยจวนได้ เวลาแล้ว” เสียงผู้หญิงในชุดแดง ดังขึ้น
ผมมองหญิงชุดแดง คนนั้นด้วย ความสนใจหญิง คนนั้นกำลังจัดที่นั่ง และจัดแต่ง เสื้อผ้าให้กระชับ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยอย่างฉุก ละหุกพานเงินพานทองแม้จะไม่เรียบร้อย ดีแต่ก็ถูกหญิงชุดแดงกวักมือเรียกเอาไป
ชายหญิงคู่หนึ่งคลาน เข้าไปหาคน ชุดแดงแล้วส่ง พานเงินพานทองให้
หญิงชุดแดงรับเอาพานทั้งคู่วาง ไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็พนม มือขึ้นระหว่างอก
คนที่นั่งรายล้อมพากัน เงียบกริบ เหมือนนัดหมายกันไว้
ขณะที่หญิงในชุดแดงก็หลับตา ทำปากขมุบขมิบ
ผมเบนสายตามองไปทางอื่น ก็เห็นชาวบ้านอีกกลุ่มพา กันหาบคอน หาบกระบุงมาแต่ไกลผมเดาเอาทันทีว่า อย่างนี้ต้องมีการเลี้ยงฉลอง อะไรสักอย่าง
เมื่อหันกลับมาอีกทีหญิงชุดแดง คนนั้นก็สั่นเทิ้ม ขึ้นมาทันที
ผมสะกิดคนที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ถูก เอ็ดเบา ๆ
“เจ้าแม่กำลังเข้าประทับเอ็งอย่า วอกแวกไป”
ผมเลยต้องนั่งนิ่งไม่กล้าซัก ถามอะไร
หญิงชุดแดงสั่นเร่า ๆ มือไม้ก็ สะเปะสะปะไปเรื่อย
สักพักอาการสั่นเทิ้ม ก็ค่อย ๆ ซาลง
เปลือกตาเริ่มเปิดขึ้นทีละนิด จนเบิกกว้างมองเห็น ดวงตาที่แข็งขวาง จนดูน่ากลัว
คนที่นั่งรายล้อมพากันยกมือ ไหว้กันหมด
กลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงพอวาง หาบคอนได้ก็รีบก้มไหว้ ประหลกก่อนจะ พนมมือไหว้หญิงในชุดแดงด้วยความ เลื่อมใส
“ไอ้หนุ่ม...” เสียงหญิง ชุดแดงดังขึ้น
พอผมมองก็เห็นหญิงคนนั้นทำ ตาขวางพร้อมกับ ชี้นิ้วมายังผม
คนที่นั่งข้าง ๆ รีบสะกิดพลาง บอกให้ผมพนมมือตาม
ผมเลยพนมมืออย่าง เสียไม่ได้
“อ้าว...พวกมึงมีอะไรจะให้กูช่วย ก็ว่ามา”
เสียงของเจ้าแม่ในร่าง ทรงดังขึ้น
คนที่นั่งรายล้อมดูเหมือนจะ ปรึกษากันเงียบ ๆ แต่แล้วก็มีคนหนึ่งถามขึ้น
“เอ่อ...เจ้าแม่ครับปีนี้ ข้าวปลามันอัตคัดสิ้นดีราคา หรือก็แพงจนพวกเราแทบ ไม่มีเงินจะซื้อมากินอยากจะ ให้เจ้าแม่ช่วยโปรด ลูกช้าง ด้วยครับ”
ดูเจ้าแม่ไพลินอึ้งไปชั่วขณะก่อน จะบอกขึ้น
“เรื่องอย่างนี้มันเกี่ยวโยงกัน มั่วไปหมดฮ่ะ ๆ ๆ มัน ก็เป็นทั้งประเทศ แหละพวกมึงเอ๋ยกูเองก็จนปัญญาจะช่วย พวกมึง”
“แต่พวกเราเดือดร้อนกันมาก นะคะเจ้าแม่”
“เดือดร้อนก็เหมือนกันทุกคนนั่น แหละที่อยู่ใน ที่นี้มีใครบ้างไม่เดือดร้อนเรื่องนี้ ไม่เอาแล้วเอ้า...ใครมีเรื่องอื่นจะให้ช่วย ก็บอกมา...”
คราวนี้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กผู้ชาย เข้าไปใกล้ ๆ เจ้า แม่แล้วบอกขึ้น
“มันไม่สบายพาไปหาหมอ หลายครั้งแล้วไม่หายขอเจ้าแม่ช่วยรักษา มันให้ทีเถอะ เจ้าคะ” ว่าแล้วก็ดันลูกชายเข้า ไปใกล้ ๆ
เจ้าแม่ในร่างทรงมองเด็กด้วย ความสนใจมือก็มวนใบตองแห้งแล้วเอายาเส้น ใส่ก่อนจะมวนเป็นยาสูบขนาด หัวแม่โป้ง
“เอามันมาใกล้ ๆ กูซิ” เจ้าแม่ใน ร่างทรงว่าพลางกวัก มือหยอย ๆ ก่อนจะ จุดไม้ขีด ใส่มวนยาเส้นแล้วพ่นควันโขมง
เด็กคนนั้นอิดเอื้อนด้วยความกลัว เจ้าแม่ในร่าง ทรงเอื้อมมือไปจับที่หัวแล้วก็พ่น ควันใส่ตรงที่จับสามสี่ครั้งก่อน จะบอกขึ้น
“กูเป่าแล้วเดี๋ยวก็หาย นะไอ้หำน้อย” เจ้าแม่ในร่าง ทรงบอกแล้วก็ให้ผู้เป็นแม่ของ เด็กน้อยคนนั้นเอาออกไปผมหันไปมองข้างหลัง เห็นชาวบ้านพากันเอาเนื้อสด ๆ ออกมา วาง ใส่ถาดเมื่อหันไปทางเจ้าแม่ก็เห็นเจ้าแม่แลบลิ้นเลียปากเหมือนกำลังหิว เสียเต็มประดา
“เจ้าแม่ครับปีนี้ข้าวของอะไร มันก็แพงไปเสียหมดเนื้อพวกนี้กว่าจะได้ มันก็เล่น เอาพวกผมแทบกระอักเหมือน กันยังไง ๆ...”
ชายคนนั้นบอกขึ้น เหมือนเสียดาย แต่ก็โดนเจ้า แม่สวนขึ้น
“เดี๋ยวกูถีบเอามานี่ทั้งหมดนั่น แหละ”
ถาดเนื้อดิบ ๆ ถูกนำมาวางต่อหน้า เจ้าแม่จากนั้นเจ้าแม่ใน ร่างทรงก็ทำที เป็นรื้อค้นแล้ว หยิบเอาก่อนตับขึ้นมากัดกิน อย่างตะกละตะกลาม
ถ้วยเลือดสด ๆ ถูกเจ้าแม่ซด ต่างน้ำแก้ติดคอตามตัวเต็มไปด้วยเลือด แดงที่ไหลเยิ้ม เข้ากับเสื้อผ้า
ผมทำท่าจะขย้อนเอาดื้อ ๆ เมื่อ เห็นตับก้อนนั้นถูก เจ้าแม่กินจนหมดใน ไม่กี่นาที
หลังจากนั้นก็หันไป เล่นเนื้อดิบ ๆ อีกก้อนใหญ่คราวนี้ผมสุดจะกลั้นต่อไปไหว จึงรีบลุกขึ้นไปโก่งคอขันพร้อมกับสำรอก เอาอาหารออกมาจนหมดไส้หมดพุง
“มึงลบหลู่กูหรือวะ ไอ้หนุ่มทีคนอื่น ไม่เห็นเป็น อย่างมึง”
ผมมัวแต่โก่งคอจึงไม่ได้เอ่ยปาก บอกหนำซ้ำอาการพะอืดพะอมก็ยิ่งแต่จะ เพิ่มขึ้น เอาเสียด้วยซ้ำ
“บ๊ะ...ไอ้นี่เดี๋ยกูหัก คอเอาไปเป็น ลูกน้องรับ ใช้เสีย ดีมั้ง”

เสียงเจ้าแม่ดังขึ้นพร้อมกับ ผมหันขวับไปมองเห็นอาการดุดันเข้า เต็มเปา
ชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นมอง มาที่ผมเป็นจุดเดียว กันแล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เอ็งลบหลู่เจ้าแม่แล้วรู้ไหม รีบกราบขอโทษเจ้า แม่เร็ว”
ผมยังไม่หายจากอาการคลื่น ไส้เลยไม่ได้กราบ ขอโทษผมเอานิ้วล้วงเข้าไป จนถึงลิ้นไก่พร้อมกับสำรอกเอาอาหาร ออกมาอีกตามด้วย น้ำขม ๆ ติดปากติดคอ
ก่อนจะโดนชาวบ้าน คนนั้นเอ็ดผมก็รีบเขย่งเดินหนี ออกไปจากบริเวณนั้นเสียก่อน
มีเสียงดังไล่หลังอย่างไม่พอใจ ในตัวผมแต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว คิดถึงแต่หลวงพี่ ที่นั่งรออยู่ศาลาริมทาง

พอไปถึงก็ถูกหลวงพี่ถามว่าเป็น อะไรมาถึงได้ หน้าตาอิดโรยออกอย่างนี้

ผมบอกหลวงพี่ไป ตามที่เห็นมา โดยไม่ยกเมฆ เกินเลย
ท่านหัวเราะเบา ๆ แล้ว บอกให้ ผมนั่งพักชั่วครู่เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรง เดินทางต่อไป
ผมมานั่งขบคิดถึง เรื่องที่ไปเห็นมา
มันก็งั้น ๆ ยิ่งด้วยเจ้า แม่ ที่ว่าไม่เห็นจะเชื่อถือเท่าใด นัก
แต่ที่หลวงพี่บอกว่าทางใคร ทางมันนั่นสิมันทำให้ผมคลายความ สงสัยไปได้เยอะ
จนเมื่อได้เวลาเดินทางหลวงพี่ กับผมก็ออกจาก ศาลาจุดหมายปลายทางนั้นไม่ สามารถกำหนดชี้ชัดลงไปได้ พอเดินผ่าน ชาวบ้านกลุ่มนั้น ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันเหมือน คนโกรธแค้น
“น่าเจ็บใจนักอีอนงค์มันหลอก กินเนื้อพวกเรา อีกแล้ว”
ผมสะดุดหูขึ้นมาทันที พอลำดับ เรื่องราวก็หันไปมองกลุ่มคนที่อยู่ใต้ต้น ก้ามปูกำลัง แตกฮือออกมาอีกกลุ่มใหญ่
ทั้งผมกับหลวงพี่ต่าง พากันเร่งฝีเท้าเหมือนนัดหมาย กันไว้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะต้องการ หลีกเลี่ยงการซักถามของคนเหล่านั้น นั่นเอง





ที่มาhttp://plak.nokroo.com
Share to friend :

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2013. KIP Thai - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger