{[['
']]}


.jpg)
หากใครเคยมีอาการดังต่อไปนี้
1.กรนเสียงดังและมีลักษณะอาการหอบ หรือสำลักระหว่างนอน 2.ง่วงนอนมากในช่วงกลางวัน 3.ปวดหัวในตอนเช้า มีปัญหาด้านความจำ 4.อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการทำงาน 5.อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ และ 7.คอแห้งหลังจากตื่นนอน และถ่ายปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน
นั่นคือ สัญญาณร้ายเข้าข่ายเสี่ยงเป็น "โรคนอนหยุดหายใจอุดกั้น"
ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหาด้านการหายใจระหว่างนอนหลับ ผู้ที่มีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ในระหว่างนอนหลับมีสาเหตุเกิดจากการปิดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ระยะเวลาการหยุดหายใจระหว่างการนอนหลับ สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10 วินาทีขึ้นไป มีผลทำให้ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนในแต่ละช่วงที่ร่างกายหยุดหายใจ
ผู้ที่มีอาการโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้น จะมีการหยุดหายใจขณะนอนมากกว่า 5 ครั้งในหนึ่งชั่วโมง หรือในบางรายอาจมีมากกว่า 100 ครั้งในหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว
สถิติทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 2-4 เปอร์เซ็นต์ ผลร้ายจากโรคนี้ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอีกหลายโรคตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และเบาหวาน
วิธีรักษาอาการโรคหยุดหายใจแบบอุดกั้นที่ใช้กันมากที่สุด คือ การใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวก (Continuous Positive Airway Pressure หรือ CPAP) โดยการรักษาด้วยเครื่อง CPAP เป็นการรักษาที่ไม่ต้องใส่อวัยวะเทียมเข้าไปในร่างกาย และสามารถช่วยบรรเทาอาการโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นได้
อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ รักษาโรคนอนไม่หลับได้ด้วยตัวเอง คือ การเข้านอน ตื่นนอน ให้ตรงเวลา ปิดสวิตช์การคิดทุกอย่างให้หมดโดยพร้อมที่จะนอนหลับเพียงอย่างเดียว ยิ่งโดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์จะทำให้แสงจากหน้าจอมอนิเตอร์ทำร้ายสายตาได้ หากใช้เป็นระยะเวลามาก ๆ จะทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น
เนื่องจากความเข้าใจในโรคนอนหยุดหายใจแบบอุดกั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จึงทำให้มีผู้ป่วยหลายรายยังไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกวิธี ฉะนั้น "ปัญหานอนไม่หลับ" เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และอาจมีผลร้ายกว่าที่คุณคิด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น