{[['
']]}

สภาข่าวกรองแห่งชาติ ของสหรัฐ เพิ่งเผยแพร่รายงานเรื่อง “แนวโน้มโลกใน พ.ศ.2573 ” ซึ่งพยายามมองรูปร่างหน้าตาของโลกในปี 2573 หรืออีก 18 ปีข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร โดยมีวัตถุประสงค์ให้รัฐบาลสหรัฐนำไปใช้ในการวางกลยุทธการบริหารประเทศและบริหารโลกในอนาคต สาระสำคัญของรายงานฉบับนี้พอสรุปให้สั้นที่สุดได้ดังนี้
ประการแรก ไม่มีประเทศใดจะเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียว การเมืองโลกจะแบ่งเป็นหลายขั้ว อำนาจจะกระจายไปสู่เครือข่ายภาคประชาสังคมมากขึ้น ช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นการปิดฉากความยิ่งใหญ่ของสหรัฐและตะวันตก อย่างไรก็ดี สหรัฐก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกต่อไป แต่คงไม่อาจทำหน้าที่เป็นตำรวจโลกได้เหมือนในอดีต
ประการที่สอง ความยากจนของโลกลดลง คนจนน้อยลง ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น คนมีการศึกษามากขึ้น มีการคิดค้นและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการติดต่อสื่อสารและการผลิต การดูแลด้านสุขภาพมีความก้าวหน้ามากขึ้น
ประการที่สาม จีนจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกแซงหน้าสหรํฐ ในขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่น สหภาพยุโรป รัสเซีย จะหดตัวลงต่อเนื่อง ประเทศในภูมิภาคเอเชียจะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงเหนือกว่ายุโรปและอเมริกาเหนือ เศรษฐกิจโลกในอนาคตจะเชื่อมโยงกับการเติบโตของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มากกว่าผูกติดกับชาติตะวันตกดังก่อน จีน อินเดียและประเทศในภูมิภาคเอเชีย จะเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก จะมีการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกกันใหม่เพราะมีความไม่สมดุล
ประการที่สี่ ด้านพลังงาน สหรัฐยังคงเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก และสหรัฐจะสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ใน 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากสหรัฐมีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถขยายพลังงานสำรองจาก 30 ปี เป็น 100 ปี ทำให้สหรัฐยังครองตำแหน่งประเทศมหาอำนาจที่มีความสำคัญระดับโลกต่อไป
ประการที่ห้า ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นจาก 7.1 พันล้านคนปัจจุบันเป็น 8.3 พันล้านคน จะเกิดปัญหาคนล้นโลก มีความเสี่ยงด้านอาหาร น้ำ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติลดลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมากขึ้น ประเทศที่แล้งก็แล้งมากขึ้น ประเทศเขตฝนก็จะเจอน้ำท่วมมากขึ้น โลกจะมีคนสูงวัยจะมีมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศที่มีคนสูงวัยมากจะหดตัว ประชากรโลกร้อยละ 60 จะอาศัยอยู่ในตัวเมือง เขตเมืองจะใหญ่ขึ้น มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ต้องการแรงงานมากขึ้น มีการโยกย้ายถิ่นฐานมากขึ้น
ประการที่หก อำนาจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้เสียประโยชน์ไม่เท่ากัน จะก่อให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและสังคม นำไปสู่การขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างรัฐ จะเกิดการไร้เสถียรภาพในบางภูมิภาค โดยเฉพาะตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ที่อาจขยายไปยังแห่งอื่น อาจมีการนำอาวุธนิวเคลียและอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรงออกมาใช้ สงครามไซเบอร์มุ่งทำลายระบบเทคโนโลยีให้ใช้งานไม่ได้มากกว่าการทำลายล้างชีวิตมนุษย์ การก่อการร้ายมีแนวโน้มลดน้อยลงแต่ไม่ได้หมดไปโดยสิ้นเชิง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ
ประการที่เจ็ด เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอ.ที.) จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในโลกอนาคต เจ้าของธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น กูเกิ้ล เฟซบุ๊ค จะเป็นผู้กุมข้อมูลส่วนใหญ่ของโลกและมีอำนาจเหนือรัฐบาลของหลายประเทศ การใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารแบบใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้นจะทำให้เครือข่ายสังคมกลายเป็นช่องทางที่ประชาชนสามารถรวมพลังกันท้าทายรัฐบาลได้ ผู้เล่นที่ไม่ใช่รัฐ จะมีบทบาทมากขึ้นในการเผชิญหน้ากับสิ่งท้าทายของโลก
เมื่อโลกเปลี่ยน คนเล่นเกมเปลี่ยน เกมก็ต้องเปลี่ยน รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต้องปรับตัวเองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ จะปรับตัวหรือจัดระเบียบโลกกันใหม่อย่างไร ผู้นำประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐและจีนต้องเป็นแกนนำร่วมมือกันแก้ไขปญหาของโลก
สหรัฐในฐานะมหาอำนาจที่มีผลประโยชน์ครอบคลุมไปทั้งโลก มองโลกทั้งใบและมองไปไกล 20 ปีข้างหน้าเพื่อว่ารัฐบาลสหรัฐจะได้วางแผนบริหารจัดการระยะยาวกับโลกใบนี้ ส่วนประเทศต่าง ๆ ซึ่งได้อานิสงค์จากรายงานฉบับนี้จะต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไทยซึ่งเป็นหมากตัวหนึ่งบนเกมหมากรุกโลกจะเดินเกมอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกเบียดตกกระดาน
รัฐบาลไทยใช้เวลามากเกินไปในการจัดการกับปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเรียบร้อยเมื่อไร มีใครบ้างที่พอจะบอกได้ว่า ใน 10-20 ปีข้างหน้า ไทยจะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ความเสี่ยง ภัยคุกคามต่อความมั่นคงที่มาจากนอกประเทศและในประเทศอะไรบ้าง เช่น สงครามกลางเมือง การจลาจล ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสังคม การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดเป็นเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เราเคยคิดว่า ประเทศไทยอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุด ปลอดภัยจากพิบัติทางธรรมชาติ แต่วันนี้ไม่แน่เสียแล้วเพราะมีสัญญานเตือนมาแล้วหลายครั้ง รัฐบาลตรียมบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งด้านการป้องกัน การแก้ไข
เพียงแค่การบริหารจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ก็เป็นบทพิศูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลไม่มีความพร้อมโดยสิ้นเชิงและ เป็นการบริหารจัดการที่ผิดพลาดโดยไม่ต้องแก้ตัวกันอีก หากรัฐบาลเจอภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงกว่านี้ เช่น แผ่นดินไหว รัฐบาลคงไปไม่เป็น เช่นเดียวกับรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น คือ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่รู้จะยุติลงเมื่อใดโดยที่ไทยยังรักษาอธิปไตยไว้ได้
จากการสำรวจกลไกและเครื่องมือของรัฐในการบริหารจัดการความเสี่ยงและภัยคุกคาม พบว่า ยังไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญกับภัยคุกคามโดยเฉพาะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีการปฏิรูปกันทั้งด้านนโยบาย กฎหมาย องค์การ ฯลฯ แต่ไม่รู้ว่าจะทันกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไรเพราะรัฐบาลมัวยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหา “การเมือง” มากกว่าแก้ปัญหา “บ้านเมือง”
จะไปพึ่ง สมช. ในเรื่องนี้คงไม่ได้ เพราะเวลานี้ สมช.วุ่นวายอยู่กับเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเป็นสำคัญ ส่วนความมั่นคงของประเทศกลายเป็นเรื่องรองไปแล้ว
อ้างอิงhttp://www.the-thainews.com
ประการแรก ไม่มีประเทศใดจะเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียว การเมืองโลกจะแบ่งเป็นหลายขั้ว อำนาจจะกระจายไปสู่เครือข่ายภาคประชาสังคมมากขึ้น ช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นการปิดฉากความยิ่งใหญ่ของสหรัฐและตะวันตก อย่างไรก็ดี สหรัฐก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกต่อไป แต่คงไม่อาจทำหน้าที่เป็นตำรวจโลกได้เหมือนในอดีต
ประการที่สอง ความยากจนของโลกลดลง คนจนน้อยลง ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น คนมีการศึกษามากขึ้น มีการคิดค้นและใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการติดต่อสื่อสารและการผลิต การดูแลด้านสุขภาพมีความก้าวหน้ามากขึ้น
ประการที่สาม จีนจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกแซงหน้าสหรํฐ ในขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่น สหภาพยุโรป รัสเซีย จะหดตัวลงต่อเนื่อง ประเทศในภูมิภาคเอเชียจะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงเหนือกว่ายุโรปและอเมริกาเหนือ เศรษฐกิจโลกในอนาคตจะเชื่อมโยงกับการเติบโตของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มากกว่าผูกติดกับชาติตะวันตกดังก่อน จีน อินเดียและประเทศในภูมิภาคเอเชีย จะเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก จะมีการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกกันใหม่เพราะมีความไม่สมดุล
ประการที่สี่ ด้านพลังงาน สหรัฐยังคงเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก และสหรัฐจะสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ใน 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากสหรัฐมีแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถขยายพลังงานสำรองจาก 30 ปี เป็น 100 ปี ทำให้สหรัฐยังครองตำแหน่งประเทศมหาอำนาจที่มีความสำคัญระดับโลกต่อไป
ประการที่ห้า ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นจาก 7.1 พันล้านคนปัจจุบันเป็น 8.3 พันล้านคน จะเกิดปัญหาคนล้นโลก มีความเสี่ยงด้านอาหาร น้ำ พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติลดลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมากขึ้น ประเทศที่แล้งก็แล้งมากขึ้น ประเทศเขตฝนก็จะเจอน้ำท่วมมากขึ้น โลกจะมีคนสูงวัยจะมีมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศที่มีคนสูงวัยมากจะหดตัว ประชากรโลกร้อยละ 60 จะอาศัยอยู่ในตัวเมือง เขตเมืองจะใหญ่ขึ้น มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ต้องการแรงงานมากขึ้น มีการโยกย้ายถิ่นฐานมากขึ้น
ประการที่หก อำนาจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้เสียประโยชน์ไม่เท่ากัน จะก่อให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและสังคม นำไปสู่การขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างรัฐ จะเกิดการไร้เสถียรภาพในบางภูมิภาค โดยเฉพาะตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ที่อาจขยายไปยังแห่งอื่น อาจมีการนำอาวุธนิวเคลียและอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรงออกมาใช้ สงครามไซเบอร์มุ่งทำลายระบบเทคโนโลยีให้ใช้งานไม่ได้มากกว่าการทำลายล้างชีวิตมนุษย์ การก่อการร้ายมีแนวโน้มลดน้อยลงแต่ไม่ได้หมดไปโดยสิ้นเชิง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ
ประการที่เจ็ด เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอ.ที.) จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในโลกอนาคต เจ้าของธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น กูเกิ้ล เฟซบุ๊ค จะเป็นผู้กุมข้อมูลส่วนใหญ่ของโลกและมีอำนาจเหนือรัฐบาลของหลายประเทศ การใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารแบบใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้นจะทำให้เครือข่ายสังคมกลายเป็นช่องทางที่ประชาชนสามารถรวมพลังกันท้าทายรัฐบาลได้ ผู้เล่นที่ไม่ใช่รัฐ จะมีบทบาทมากขึ้นในการเผชิญหน้ากับสิ่งท้าทายของโลก
เมื่อโลกเปลี่ยน คนเล่นเกมเปลี่ยน เกมก็ต้องเปลี่ยน รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต้องปรับตัวเองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ จะปรับตัวหรือจัดระเบียบโลกกันใหม่อย่างไร ผู้นำประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสหรัฐและจีนต้องเป็นแกนนำร่วมมือกันแก้ไขปญหาของโลก
สหรัฐในฐานะมหาอำนาจที่มีผลประโยชน์ครอบคลุมไปทั้งโลก มองโลกทั้งใบและมองไปไกล 20 ปีข้างหน้าเพื่อว่ารัฐบาลสหรัฐจะได้วางแผนบริหารจัดการระยะยาวกับโลกใบนี้ ส่วนประเทศต่าง ๆ ซึ่งได้อานิสงค์จากรายงานฉบับนี้จะต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไทยซึ่งเป็นหมากตัวหนึ่งบนเกมหมากรุกโลกจะเดินเกมอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกเบียดตกกระดาน
รัฐบาลไทยใช้เวลามากเกินไปในการจัดการกับปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเรียบร้อยเมื่อไร มีใครบ้างที่พอจะบอกได้ว่า ใน 10-20 ปีข้างหน้า ไทยจะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ความเสี่ยง ภัยคุกคามต่อความมั่นคงที่มาจากนอกประเทศและในประเทศอะไรบ้าง เช่น สงครามกลางเมือง การจลาจล ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสังคม การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดเป็นเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เราเคยคิดว่า ประเทศไทยอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุด ปลอดภัยจากพิบัติทางธรรมชาติ แต่วันนี้ไม่แน่เสียแล้วเพราะมีสัญญานเตือนมาแล้วหลายครั้ง รัฐบาลตรียมบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งด้านการป้องกัน การแก้ไข
เพียงแค่การบริหารจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ก็เป็นบทพิศูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลไม่มีความพร้อมโดยสิ้นเชิงและ เป็นการบริหารจัดการที่ผิดพลาดโดยไม่ต้องแก้ตัวกันอีก หากรัฐบาลเจอภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงกว่านี้ เช่น แผ่นดินไหว รัฐบาลคงไปไม่เป็น เช่นเดียวกับรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น คือ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งไม่รู้จะยุติลงเมื่อใดโดยที่ไทยยังรักษาอธิปไตยไว้ได้
จากการสำรวจกลไกและเครื่องมือของรัฐในการบริหารจัดการความเสี่ยงและภัยคุกคาม พบว่า ยังไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญกับภัยคุกคามโดยเฉพาะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีการปฏิรูปกันทั้งด้านนโยบาย กฎหมาย องค์การ ฯลฯ แต่ไม่รู้ว่าจะทันกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไรเพราะรัฐบาลมัวยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหา “การเมือง” มากกว่าแก้ปัญหา “บ้านเมือง”
จะไปพึ่ง สมช. ในเรื่องนี้คงไม่ได้ เพราะเวลานี้ สมช.วุ่นวายอยู่กับเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเป็นสำคัญ ส่วนความมั่นคงของประเทศกลายเป็นเรื่องรองไปแล้ว
อ้างอิงhttp://www.the-thainews.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น